วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขนมปัง

ขนมปัง เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสาลีที่ผสมกับน้ำและยีส หรือ ผงฟู นอกจากนี้ยังมีการใช้ส่วนผสมอื่นๆเพื่อแต่งสี รสชาติและกลิ่น แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของขนมปัง และ แต่ละประเทศที่ทำ โดยนำส่วนผสมมาตีให้เข้ากันและนำไปอบ ขนมปังมีหลายประเภท เช่น ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังแซนด์วิช ขนมปังหวาน ขนมปังไรน์ หรือแม้กระทั่ง เพรทเซล (Pretzel) ของขึ้นชื่อประเทศเยอรมนี เป็นต้น
ขนมปังนั้นสามารถทานได้เลย แต่โดยปกติจะทานกับเนย เนยถั่ว แยม เยลลี่ แยมส้ม น้ำผึ้ง หรือทำเป็นแซนด์วิช ขนมปังนั้นสามารถนำไปอบหรือปิ้งได้ และจะเสิร์ฟร้อนหรือเย็นก็ได้

 

 

ส่วนผสมที่สำคัญ

ส่วนผสมที่สำคัญของขนมปังมีดังนี้
ข้าวสาลี 
ขนมปังเกิดจากโปรตีนของแป้งสาลีที่มีชื่อว่า กลูเตน โปรตีนชนิดนี้มีอยู่สูงในข้าวสาลี ในขณะที่ข้าวจ้าวที่คนไทยรับประทานในทุกวันมีกลูเตนอยู่น้อยมาก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ข้าวเจ้าจึงไม่สามารถนำมาทำขนมปังได้
ยีสต์ 
ยีสต์จะถูกเติมลงไปในขนมปังเพื่อให้ขนมปังพองฟู เพราะยีสต์จะกินน้ำตาลที่อยู่ในแป้งและผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ทำให้ขนมปังมีรูปร่างเป็นก้อน ยีสต์ที่ใช้ในการทำขนมปังมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบสด และ แบบผงเป็นต้น การใช้ยีสต์ที่ถูกต้องจะต้องทำการปลุกยีสต์เสียก่อน โดยการละลายน้ำในอุณหภูมิประมาณ 38 องซาเซลเซียส การใช้ยีสต์จึงทำได้ยากกว่า แต่ให้ผลดีที่จะให้เนื้อขนมปังและรสชาติดีกว่าการใช้ผงฟู ยีสต์ที่ใช้โดยทั่วไป คือ Saccharomyces cerevisiae
ผงฟู 
ผงพูคือ โซเดียมไบคาร์บอร์เนต ถูกใช้ในการทำขนมปังเพื่อแทนการใช้ยีสต์ เพราะเมื่อผงฟูผสมกับน้ำก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่นเดียวกับที่ยีสต์ทำ แต่จะมีผลข้างเคียงคือ หากใส่มากเกิดไปจะทำให้มีรสชาติเฝื่อนขม และ การฟูของขนมปังก็จะหยาบกว่าการใช้ยีสต์ แต่ข้อดีคือ ใช้ได้ง่ายกว่า และก็เก็บรักษาได้นานกว่ากัน ผงฟูมีด้วยกันสองสูตรคือ สูตรหนึ่ง คือ ผงฟูที่จะปล่อยก๊าซออกมาครั้งเดียวทั้งหมดตอนที่เราผสมเข้ากับเนื้อขนมปัง สูตรสอง คือ ผงฟูที่จะปล่อยก๊าซออกมาสองครั้ง คือ ตอนที่ผสมกับเนื้อขนมปัง และ อีกครั้งตอนที่โดนความร้อนในเตาอบ
ขนมปังนั้นควรที่จะเก็บไว้ในกล่องเก็บขนมปังเพื่อรักษาความสดใหม่. จริง ๆ แล้ว ขนมปังนั้นสามารถขึ้นราได้ง่ายในอุณหภูมิเย็น

Fédération Française


Shirt badge/Association crest
ฉายาLes Bleus ("น้ำเงิน")
L'Equipe Tricolore ("ทีมสามสี")
ทีมตราไก่ (ฉายาในภาษาไทย)
สมาคมFédération Française
de Football
สมาพันธ์ยูฟ่า (ทวีปยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนธงชาติของฝรั่งเศส โลรองต์ บลองค์
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนAlain Boghossian
Pierre Mankowski
กัปตันเธียร์รี่ อองรี
ติดทีมชาติสูงสุดลีลียอง ตูราม (142)
ทำประตูสูงสุดเธียร์รี่ อองรี (51)
สนามเหย้าStade de France
รหัสฟีฟ่าFRA
อันดับฟีฟ่า10
อันดับฟีฟ่าสูงสุด1 (พฤษภาคม 2001 – พฤษภาคม 2002)
อันดับฟีฟ่าต่ำสุด25 (เมษายน 1998)
อันดับอีแอลโอ11
อันดับอีแอลโอสูงสุด1 (กรกฎาคม 2007)
อันดับอีแอลโอต่ำสุด44 (พฤษภาคม 1928
กุมภาพันธ์ 1930)
ทีมเหย้า สี
ทีมเยือน สี
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติของเบลเยียม เบลเยียม 3–3 France ธงชาติของฝรั่งเศส
(บรัสเซลส์, เบลเยียม; 1 พฤษภาคม 1904)
ชนะสูงสุด
ธงชาติของฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 10–0 อาเซอร์ไบจาน ธงชาติของอาเซอร์ไบจาน
(โอแซร์, ฝรั่งเศส; 6 กันยายน 1995)
แพ้สูงสุด
ธงชาติของเดนมาร์ก เดนมาร์ก 17–1 ฝรั่งเศส ธงชาติของฝรั่งเศส
(ลอนดอน, อังกฤษ; 22 ตุลาคม 1908)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม13 (ครั้งแรกใน 1930)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ, 1998
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เข้าร่วม7 (ครั้งแรกใน 1960)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ, 1984 and 2000
Confederations Cup
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 2001)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ, 2001 and 2003
สถิติเหรียญรางวัลโอลิมปิค
ฟุตบอลทีมชาย
เงิน1900 ปารีสทีม
ทอง1984 ลอสแอนเจลิสทีม


Les Trois Mousquetaires

Les Trois Mousquetaires

 
Les Trois Mousquetaires
Dartagnan-musketeers.jpg
AuteurAlexandre Dumas
GenreRoman historique
Pays d'origineFrance
ÉditeurBaudry
Date de parution1844
Chronologie
Vingt ans aprèsVingt ans après  link= Vingt ans après
Les Trois Mousquetaires est un roman d'Alexandre Dumas, initialement publié en feuilleton dans le journal Le Siècle de mars à juillet 1844. Il a été édité en volume dès 1844 aux éditions Baudry et réédité en 1846 chez J. B. Fellens et L. P. Dufour avec des illustrations de Vivant Beaucé.
Le roman raconte les aventures d'un Gascon désargenté de 18 ans, D'Artagnan, venu à Paris pour faire carrière dans le corps des mousquetaires. Il se lie d'amitié avec Athos, Porthos et Aramis, mousquetaires du roi Louis XIII. Ces quatre hommes vont s'opposer au premier ministre, le cardinal de Richelieu et à ses agents, dont le comte de Rochefort et la belle et mystérieuse Milady de Winter, pour sauver l'honneur de la reine de France Anne d'Autriche.
Avec ses nombreux combats et ses rebondissements romanesques, Les Trois Mousquetaires est l'exemple type du roman de cape et d'épée et le succès du roman a été tel que Dumas l'a adapté lui-même au théâtre, et a repris les quatre héros dans deux autres romans Vingt ans après, (1845) et Le Vicomte de Bragelonne (1847-1850) pour former la trilogie des mousquetaires.
Toujours très populaire, ce roman a fait l'objet de très nombreuses adaptations au cinéma et à la télévision.

Épiphanie

.
Épiphanie
L'adoration des Mages peint par Matthias Stom (vers 1600-1650).
L'adoration des Mages peint par Matthias Stom (vers 1600-1650)

Autre nomThéophanie
Observé parles chrétiens
TypeCélébration religieuse
SignificationAdoration des Mages
Date6 janvier
ObservancesGalette des Rois
Lié àNoël
L'Épiphanie désigne aujourd'hui une fête chrétienne qui célèbre le Messie venu et incarné dans le monde et recevant la visite et l'hommage des Rois mages. Elle a lieu le 6 janvier [1]. En France et en Belgique, puisque ce jour n'est pas férié, elle est célébrée le deuxième dimanche suivant Noël.
La fête s'appelle aussi « Théophanie », qui signifie également la « manifestation de Dieu ».
À l'origine et jusqu'à la fin du IVe siècle, L'Épiphanie est la grande et unique fête chrétienne de la «manifestation du Christ dans le monde»
(manifestation exprimée outre la venue des Mages par une suite de différents épisodes: la Nativité, la voix du Père et la présence d'une colombe lors du Baptême sur le Jourdain, le miracle de Cana, etc.)
Depuis l'introduction d'une fête de la Nativité (Noël) le 25 décembre, l'Épiphanie met l'accent sur des sens spécifiques selon les confessions et les cultures.
Depuis le XIXe siècle on l'appelle aussi le Jour des Rois en référence directe à la venue et à l'adoration des Rois mages

La Chandeleur

         La Chandeleur

Voici venir la Chandeleur, au deuxième jour de février.

Mais qu'est la chandeleur demande le jeune enfant qui entend pour la première fois ce terme?
La Chandeleur! répondons-nous tous en choeur c'est le jour des crêpes, des crêpes que l'on prépare entre amis, ou entre parents et que l'on fait sauter ou que l'on tourne dans la poêle tout en tenant dans la main une pièce en or, parce que réussir cette acrobatie porte bonheur dit le dicton... que plus personne ne croit. Mais combien sommes-nous à essayer quand même, des fois que... pour que l'argent ne manque pas durant l'année à venir, pour que les maladies nous épargnent...
NB il est aussi possible pour appeler la prospérité de faire atterrir la crêpe sur l'armoire et de l'y laisser toute l'année.
                                    วันชาติสหรัฐอเมริกาวันฉลองอิสรภาพ สหรัฐอเมริกา 4 ก.ค. ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1776 ผู้แทนของอาณานิคมอังกฤษทั้ง13 แห่ง ในอเมริกาเหนือได้มารวมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพลซิลเวเนีย เพื่อหารืออภิปรายกันในข้อเสนอที่อาจหาญว่า "อาณานิคมที่ผนึกเข้าด้วยกันนี้ล้วนแต่เป็นรัฐอิสระและเป็นเอกราช แล้ว โดยสิทธิก็ควรจะเป็นเช่นนั้น" ในขณะที่ผู้แทนจากอาณานิคม กำลังประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวอยู่นั้น คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คนนำโดย โธมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เอกสารขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งเรียกกันในเวลาต่อมาว่า "คำประกาศอิสระภาพ"

ใน การประกาศให้ชาวโลกได้ทราบถึงการประกาศตนเป็นเอกราชนั้น คำประกาศได้วางหลักการและเหตุผลในการก่อตั้งประเทศใหม่ว่า "เราถือว่าความจริงต่อไปนี้มีความหมายประจักษ์ชัดในตัวเอง คือ มนุษย์ทุกคนล้วนถือกำเนิดเกิดมาเท่าเทียมกัน และต่างได้รับสิทธิบางประการที่อาจมอบโอนกันได้จากประทานของผู้สร้าง ซึ่งในบรรดาสิทธิเหล่านี้มีสิทธิในชีวิตเสรีภาพ และการแสวงหาความสุขเป็นอาทิ" บรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมที่ฟิลาเดลเฟียได้ออกเสียงลงมติเห็นชอบกับคำ ประกาศอิสรภาพ ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 วันดังกล่าวจึงถือว่าเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกานับแต่ นั้นเป็นต้นมา

งานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นกันเองโดยมิได้วางแผนหรือนัด หมายกันมาก่อนได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในวันครบรอบของปีถัดมา ในฟิลลาเดลเฟียชาวเมืองเฉลิมฉลองกันด้วย การเคาะระฆัง เล่นรอบกองไฟและจุดดอกไม้ไฟ เรือที่ทอดสมออยู่ที่ท่ายิงสลุต 13 นัด ประชาชนจุดประทีปโคมไฟโดยใช้เทียนประดับตกแต่งไว้ตามหน้าต่างให้บ้านเรือน ของตนสว่างไสว พอถึงปีค.ศ. 1810 เมืองใหญ่ๆของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดต่างก็จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างมีพิธืรีตอง อันเป็นประเพณีที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ว่าหลายพื้นที่จะเอาประเพณีท้องถิ่นของตนเข้าไปผสมผสานด้วย แต่รูปแบบของการสนุกสนานรื่นเริงในการเฉลิมฉลองวันชาติทั่วสหรัฐ ที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ การเดินพาเหรด การแสดงของวงดนตรี การแข่งกีฬา การไปปิกนิกและการจุดดอกไม้ไฟ ทุกหนแห่ง นับตั้งแต่เมืองเล็กๆ ชุมชนการเกษตร ไปถึงนครใหญ่ๆ

ชาวอเมริกันจะประดับประดาธงชาติของตน ด้วยความภาคภูมิใจในการเฉลิมฉลองเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติร่วมกัน ด้านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเมริกาคนที่43 ได้มีแถลงการณ์เนื่องในโอกาสวันฉลองอิสรภาพ 4 ก.ค. โดยส่งความปรารถนาดีแด่ชาวอเมริกัน เรียกร้องให้ชาวอเมริกันผนึกกำลังเพื่อความเป็นเอกภาพแห่งชาติและชื่นชมใน สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ ความรักต่อครอบครัว มิตรสหายและเสรีภาพ

จากประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่เกิดขึ้นมาช้านาน ชาวอเมริกันพยายามอย่างยิ่งยวดในอันที่จะสร้างประเทศที่ให้เสรีภาพ สันติภาพ และโอกาสแด่ทุกคน ขณะเดียวกันเราก็พยายาม ที่จะผลักดันเมฆหมอกแห่งความเลวร้ายให้ออกไปจากประเทศของเรา และประชาคมโลก ซึ่งเราขอยืนยันว่าจะสานต่อเจตนารมณ์แห่งบรรพบุรุษที่ได้สร้างไว้คือ มรดกแห่งอิสรภาพ นอกจากนั้น เรายังขอยกย่องหทารหาญ ซึ่งได้อุทิศตัวเพื่อปกป้องประเทศชาติไว้

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาเป็นเวลา 169 ปีแล้ว และประชาคมระหว่างประเทศยังคงแนบแน่นเช่นเคย ชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับการเดินทางไปเยือนสหรัฐเมื่อปีที่แล้วของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างมากและได้มีความคืบหน้าในการเจรจาทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงความผูกพันทางวัฒนธรรมของชาวไทยและอเมริกันยังคงเพิ่มขึ้น เรื่อยๆคนไทยหลายพันคนที่ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำธุรกิจ ศึกษาเล่าเรียน และเยี่ยมชมประเทศ หรือเข้ามารับใช้ร่วมกับโครงการ Peace Corps อย่างที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาเมื่อกว่า40ปีที่แล้ว ในตอนนั้น ข้าพเจ้าเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่จังหวัดลำพูน ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเป็ฯอย่างยิ่งในการกลับมายังประเทศไทยในฐานะฑูตสห รัฐอเมริก าและได้เห็นว่ามิตรภาพของเรานั้นได้เจริญเติบโตยิ่งขึ้น มิตรภาพดังกล่าวเพิ่มพูนขึ้นภายหลังการก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ในนครนิวยอร์กและ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชทานสาสน์ถึงประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แสดงความเสียพระทัยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งสารแสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลไทยด้วย
ข้อ ความในพระราชสาสน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสะท้อนถึงความสนับสนุนแก่ นานาชาติ ในการนำเสรีภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาสู่ประชาชน ชาวอัฟกานิสถาน

ไทยยังได้ร่วมมือกับสหรัฐในอีกหลายๆด้านเพื่อต่อสู้ กับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ สหรัฐยินดีที่มีไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการทำสงครามกับก่อการร้าย สารจาก นายแดร์ริล เอ็น. จอห์นสัน เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันที่ 4 ก.ค.ว่า วันที่4 ก.ค.นี้จะเป็นวันครบรอบ 226 ปี ที่บรรพบุรุษของเรา ได้ลงนามประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะร่วมฉลองในโอกาสนี้กับประชาชนชาวไทย และกับชาติอื่นๆในประเทศไทย วันที่ 4 ก.ค. นี้เป็นวันที่ชาวอเมริกันร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงหลักการแห่งประชาธิปไตย และเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักการที่ผู้คนนับล้านๆ คนทั่วโลกยึดถือ และปีนี้ถือเป็นปีสำคัญ เป็นพิเศษในการเฉลิมฉลองเสรีภาพและประชาธิปไตยในประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นเวลา 70 ปีมาแล้ว ที่ชาวไทย ได้เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตย ในช่วงเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา ประชาธิปไตยเป็นค่านิยมประการหนึ่งที่ประชาชนของเรายึดถือร่วมกันมา

ประวัติ นายแดร์ริล เอ็น. จอห์นสัน เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย นายจอห์นสัน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2544 และเริ่มปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวเมื่อ วันที่ 27 ธ.ค. 2544 ก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตจอห์นสัน เคยดำรงตำแหน่ง รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยรับผิดชอบเรื่องที่เกี่ยวกับจีนและมองโกเลีย ก่อนเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ

ในปี พ.ศ.2508 นายจอห์นสัน เคยเป็นอาสาสมัครของหน่วยสันติภาพของสหรัฐ ( Peace Corps ) ในประเทศไทย
โดย เป็นครูสอนภาษาที่จังหวัดลำพูน นายจอห์นสัน เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ปฎบัติราชการในต่างประเทศ มาแล้วหลายประเทศเช่นที่ อินเดีย,ฮ่องกง,รัสเซีย,โปแลนด์ และลิธัวเนีย นายจอห์นสัน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) จาก University of Washington และเคยศึกษาที่ University of Puget Sound, University of Minnesota และ Princeton University เขาได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในสมาชิก สมาคม Phi Beta Kappa ซึ่งเป็นสมาคมของนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม และได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสมาคมอื่นๆที่เกี่ยวกับการศึกษาทางทหาร ดนตรี และวรรณคดี นายจอห์นสันสามารถพูด ภาษาไทย ภาษจีนกลาง ภาษารัสเซีย ภาษาโปแลนด์ ได้ดี และสามารถพูด ภาษาลิธัวเนียได้เล็กน้อย นายจอห์นสันสมรสกับนางแคธลีน เดซาฟอรานซ์ และมีบุตรสาวหนึ่งคนคือ ดาราวรรณ (เกิดในประเทศไทย) บุตรชายฝาแฝดสองคน คือ ลอเร็นและเกรกอรี (เกิดที่อินเดีย) และมีหลาน 2 คน นายจอห์นสันมีถิ่นพำนักอยู่ที่เมือง ซีแอ็ตเติล รัฐวอชิงตัน


ข้อมูลจำเพาะ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พื้นที่ 3,535,000 ตร.ไมล์
ประชากร 278,058,881 คน
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตย
ประมุขแห่งรัฐและรัฐบาล
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยูบุช เกิด 6 ก.ค. 2489
เข้ารับตำแหน่ง 20 ม.ค. 2544
สกุลเงิน ดอลลาร์

Pourquoi fête-t-on le 11 novembre en France ?

Nov 11th, 2010 | By Sarah | Category: Français


Le 11 novembre est un jour férié en France. Ce jour-là, les fanfares défilent dans les rues et les citoyens se retrouvent pour une cérémonie autour des monuments aux morts de chaque ville. Mais que célèbre-t-on donc le 11 novembre ? Ce jour est appelé le « jour du souvenir » ou « jour de l’armistice » car c’est à ce moment-là que l’on commémore l’armistice qui a mis fin à la Première Guerre mondiale en 1918. Par extension, on commémore aussi ce jour-là les sacrifices d’autres guerres que la Première Guerre mondiale.
Une cérémonie a lieu dans chaque commune, généralement en présence du maire et de plusieurs personnalités politiques. Les citoyens défilent derrière la fanfare dans les rues de la ville, puis s’arrêtent devant le monument aux morts, si la ville en a un, à 11h. C’est en effet à 11h, le 11ème jour du 11ème mois, que l’armistice a été rendu effectif, et cet horaire symbolique a été maintenu pour la fête commémorative. Une fois devant le monument aux morts, le maire ou une autre personnalité fait un discours et cite les noms des soldats de la ville morts au combat pendant la Première Guerre mondiale. Après chaque nom, les citoyens répètent à l’unisson « mort pour la France ».
Quelques fois en France, mais surtout dans les pays anglo-saxons, les citoyens portent des coquelicots sur le revers de leurs vestes. Le coquelicot symbolise en effet les soldats morts au combat, car, après un combat, les champs, nus auparavant, se recouvrent de ces fleurs rouges sous l’effet de la poussière de chaux laissée par les bombardements. En France, le bleuet était aussi utilisé car il rappelait la couleur des uniformes des soldats français pendant la guerre, mais cette tradition a été perdue peu à peu.
Le 11 novembre est aussi l’occasion de rendre hommage au soldat inconnu, un corps non identifié tué pendant la Première Guerre mondiale et maintenant enterré sous l’Arc de Triomphe. Symboliquement, c’est une façon de se souvenir de tous les soldats, même si l’on ne sait pas qui ils sont, qui sont morts au combat lors de cette guerre.
Maintenant, la guerre étant loin, le 11 novembre est une occasion de prendre le temps de se souvenir des horreurs du siècle dernier et de mieux comprendre l’histoire.

Toussaint

 
Toussaint
All-Saints.jpg
Fra Angelico, Les précurseurs du Christ avec les saints et les martyrs, 1423-1424

Observé parles catholiques
TypeCélébration religieuse
SignificationCélébration de tous les saints
Date1er novembre
Observancesprières
Lié àCommémoration des fidèles défunts
La Toussaint est une fête catholique, célébrée le 1er novembre, au cours de laquelle l’Église catholique romaine honore tous les saints, connus et inconnus[1]. La Toussaint précède d’un jour la Commémoration des fidèles défunts, dont la solennité a été officiellement fixée au 2 novembre, deux siècles après la création de la Toussaint.

Sommaire

 [masquer

Histoire[modifier]

Cette fête a longtemps eu lieu après les fêtes de Pâques ou suite à la Pentecôte. Au Ve siècle, elle est célébrée en Syrie le vendredi de Pâques[1]. À Rome, au Ve siècle également, une fête en l’honneur des saints et martyrs était déjà célébrée le dimanche après la Pentecôte[1].
Elle a remplacé la fête celte Samain, qui a lieu le 1er novembre de notre calendrier et correspond au début de l’année et de la saison sombre[2]. C’est une fête de passage, de transition, elle dure une semaine, trois jours avant et trois jours après. C’est à la fois le début de l’année nouvelle et la fin de celle qui s’achève. Elle est marquée par des rites druidiques, des assemblées, des beuveries et des banquets rituels. Elle a la particularité d’être ouverte sur l’Autre Monde (le sidh des Irlandais) et donc de favoriser le rapport des hommes avec les dieux. On la retrouve en Gaule sous le nom de Samonios (le mot désigne le mois qui correspond approximativement à novembre), attestée par le calendrier de Coligny.
Après la transformation du Panthéon de Rome en sanctuaire chrétien, le pape Boniface IV le consacra, le 13 mai 610, sous le nom de l’église Sainte-Marie-et-des-martyrs. Boniface IV voulait ainsi faire mémoire de tous les martyrs chrétiens dont les corps étaient honorés dans ce sanctuaire. La fête de la Toussaint fut alors fêtée le 13 mai, date anniversaire de la dédicace de cette église consacrée aux martyrs[1],[3].
C’est peut-être à partir du VIIIe siècle qu’elle est fêtée le 1er novembre, lorsque le pape Grégoire III dédicace, en l’honneur de tous les saints, une chapelle de la basilique Saint-Pierre de Rome[1].
Vers 830, le pape Grégoire IV ordonne que cette fête soit célébrée dans le monde entier[1]. Pour certains, c’est à l’occasion de cette décision, prise en 835, que la fête de la Toussaint est fixée au 1er novembre[3].
Sur le conseil de Grégoire IV, l’empereur Louis le Pieux institua la fête de tous les saints sur tout le territoire de l’empire carolingien[réf. nécessaire].

Signification[modifier]

Cette fête se fonde sur des textes bibliques comme, entre autres, l’Apocalypse de saint Jean (Apoc., 7, 2-14), la première lettre de saint Jean (ch. 3) et l’évangile selon saint Matthieu (ch. 5, 1-12) sur les Béatitudes (Mt 5. 1-12).
Un cimetière à la Toussaint en Pologne.
Récolte manuelle de pommes de terre.
Elle est dédiée à tous les saints. « Cette célébration groupe non seulement tous les saints canonisés, c’est-à-dire ceux dont l’Église assure, en engageant son autorité, qu’ils sont dans la Gloire de Dieu, mais aussi tous ceux qui, en fait et les plus nombreux, sont dans la béa­titude divine » (dom Robert Le Gall)[3]. Il s’agit donc de toutes les personnes, canonisées ou non, qui ont été sanctifiées par l’exercice de la charité, l’accueil de la miséricorde et le don de la grâce divine[4]. Cette fête rappelle donc à tous les fidèles, la vocation universelle à la sainteté[5].
La Toussaint ne doit pas être confondue avec la Commémoration des fidèles défunts, fêtée le lendemain. Cette dernière est un héritage des lectures monastiques du « rouleau des défunts » : la mention des frères d’une abbaye, ou d’un ordre religieux, au jour anniversaire de leur décès. Elle a été inaugurée par Odilon, abbé de Cluny au XIe siècle.
Cependant, du fait qu’en France, le 1er novembre, jour de la Toussaint, est un jour férié, l’usage est établi de commémorer les morts ce jour au lieu du 2 novembre, comme le témoigne la tradition multiséculaire de chandelles et bougies allumées dans les cimetières et, depuis le XIXe siècle le fleurissement, avec des chrysanthèmes, des tombes à la Toussaint (évènement particulièrement bien représenté dans le tableau La Toussaint du peintre Émile Friant) ; ces deux gestes symbolisant la vie heureuse après la mort.

Vacances de Toussaint[modifier]

Lors de la période de Toussaint, toute la famille paysanne, y compris les enfants, était rassemblée pour récolter manuellement la pomme de terre. Durant cette récolte qui ne s’applique que pour l’hémisphère nord, de nombreux enfants manquaient à l’école, d’où l’instauration progressive de vacances de Toussaint jadis appelés « vacances patates »[6].

Dictons régionaux sur la météo de début novembre[modifier]

Ces dictons traditionnels, parfois discutables, ne traduisent une réalité que pour les pays tempérés de l’hémisphère nord :
  • « De Saint Michel à la Toussaint, laboure grand train » ou « à la Toussaint, sème ton grain », « à la Toussaint, manchons au bras, gants aux mains », « à la Toussaint blé semé, aussi le fruit enfermé (ou les fruits serrés) ».
  • « À la Toussaint, commence l’été de la Saint Martin » ou au contraire « à la Toussaint, le froid revient et met l’hiver en train ».
  • « S’il neige à la Toussaint, l’hiver sera froid » mais « s’il fait soleil à la Toussaint, l’hiver sera précoce », « s'il fait chaud le jour de la Toussaint, il tombe toujours de la neige le lendemain », « tel Toussaint, tel Noël », « givre à la Toussaint, Noël malsain », « autant d’heures de soleil à la Toussaint, autant de semaines à souffler dans ses mains », « suivant le temps de la Toussaint, l’hiver sera ou non malsain ».
  • « De la Toussaint à la fin de l’Avent, jamais trop de pluie ou de vent » ou « entre la Toussaint et Noël ne peut trop pleuvoir ni venter », « Vent de Toussaint, terreur du marin », « le vent souffle les trois quarts de l’année comme il souffle la veille de la Toussaint »[7].
  • « La Toussaint venue, laisse ta charrue » ou « le jour des morts ne remue pas la terre, si tu ne veux sortir les ossements de tes pères »
 
                                 soup
 
 
Soup is a generally warm food that is made by combining ingredients such as meat and vegetables with stock, juice, water, or another liquid. Hot soups are additionally characterized by boiling solid ingredients in liquids in a pot until the flavors are extracted, forming a broth. Traditionally, soups are classified into two main groups: clear soups and thick soups. The established French classifications of clear soups are bouillon and consommé. Thick soups are classified depending upon the type of thickening agent used: purées are vegetable soups thickened with starch; bisques are made from puréed shellfish or vegetables thickened with cream; cream soups may be thickened with béchamel sauce; and veloutés are thickened with eggs, butter, and cream. Other ingredients commonly used to thicken soups and broths include rice, lentils, flour, and grains; many popular soups also include carrots and potatoes.
Soups are similar to stews, and in some cases there may not be a clear distinction between the two; however, soups generally have more liquid than stews.

 

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เนยแข็ง

 
สวิสชีส จะมีลักษณะเด่นคือมีรูกระจายตามเนื้อชีส
เนยแข็งพร้อมเสิร์ฟ
เนยแข็ง หรือ ชีส (อังกฤษ: cheese) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งสามารถผลิตได้จากนมวัวหรือแพะ เป็นต้น ที่ผ่านกระบวนการคัดแยกโปรตีน แล้วนำโปรตีนของนมมาทำการผสมเชื้อรา หรือแบคทีเรีย หรือสารอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของเนยแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเนยที่ทำมาจากไขมันของนม
เนยแข็งเป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยมีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดในคัมภีร์ไบเบิล กลุ่มนักรบทหารโรมันเป็นบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้รู้จักเนยแข็ง เพราะไม่ว่าจะยกทัพไปที่ใดก็มักจะนำเนยแข็งไปด้วยเสมอและมักจะแบ่งปันเนยแข็งที่มีให้กับคนท้องถิ่นนั้นๆ โบสถ์จัดว่าเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเนยแข็งที่เด่นชัดที่สุดในสมัยกลาง การจำหน่ายเนยแข็งเพื่อหารายได้เข้าโบสถ์ของบาทหลวงในศาสนาคริสต์ส่งผลให้เกิดเนยแข็งแบบดั้งเดิมที่มีเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น และในเวลาต่อมาเนยแข็งท้องถิ่นนี้ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงรสชาติให้มีความหลากหลาย จนในปัจจุบันมีเนยแข็งมากกว่า 3,000 ชนิด
หลายคนมีความเข้าใจผิดว่าเนยแข็งและเนยเหลวเป็นอาหารประเภทไขมันเช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้วเนยแข็งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโปรตีนในน้ำนมวัว ในขณะที่เนยเหลวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไขมันในน้ำนมวัว ดังนั้นเนยแข็งจึงจัดเป็นอาหารจำพวกโปรตีนเหมือนเนื้อสัตว์ และมีคุณค่าทางโภชนาการไม้แพ้น้ำนมวัว เนยแข็งให้สารอาหารจำพวก แคลเซียม โปรตีน ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 สังกะสี และไขมัน แต่ให้น้ำตาลแล็กโทสในปริมาณที่น้อยกว่าในน้ำนม ผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนมจึงสามารถหันมารับประทานเนยแข็งแทนเป็นทางออกแทนได้
 

 

ชีสมีรากศัพท์มาจากคำภาษาละตินว่า caseus รากศัพท์ caseus ในภาษาละตินนี้เป็นรากศัพท์ของคำว่าเนยแข็งในภาษาอื่นๆอีกมากมาย เช่น queso ใน ภาษาสเปน queijo ในภาษาโปรตุเกส keju ในภาษามาเลย์ cacio ในภาษาอิตาลี เป็นต้น caseus มีความเกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับคำว่า casein ในปัจจุบัน ศัพท์คำนี้มีความหมายถึง ก้อนโปรตีนที่ได้จากน้ำนมวัวซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนยแข็ง เนยแข็ง หรือ ชีส (Cheese) เป็นสิ่งที่คนไทยมักจะเรียกว่า เนย ด้วยความเข้าใจผิด เพราะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากนมเหมือนกัน ดังนั้นจึงคิดเข้าใจว่าเป็นอาหารประเภทเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วเนยแข็งไม่ถือว่าเป็นเนย เพราะเนยแข็งเป็นการนำเอาส่วนโปรตีนของนมมาใช้แปรรูป ต่างจากเนยที่นำเอาส่วนของไขมันมาใช้ ดังนั้นในทางโภชนาการเนยและเนยแข็งจึงจัดว่าเป็นอาหารคนละประเภทกัน เนื่องจากในนมมีโปรตีนคุณภาพดีอยู่ในจำนวนมาก ดังนั้นวิธีการแยกเอาโปรตีนออกมาจากนม จึงทำโดยการเติมเอนไซม์เอนไซม์เรนนิน หรือ เรนเนต ที่สกัดได้มาจากกระเพาะสัตว์ และ ไคโมซิน เอนไซม์ที่สกัดได้มาจากแบคทีเรีย เมื่อใส่เอนไซม์เหล่านี้ลงไปในน้ำนมแล้วเอนไซม์จะทำหน้าที่ย่อยโปรตีน ส่งผลให้โปรตีนที่แขวนลอยอยู่ในนม แยกตัวออกมาจับตัวเป็นก้อน เรียกว่า เคิร์ด ก้อนโปรตีนหรือเคิร์ดที่ว่านี้ หากได้มาจากนมสดจะมีไขมันปนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง หากได้มาจากนมขาดมันเนยหรือนมพร่องมันเนย ไขมันที่ติดมาจะมีน้อยลงจนแทบจะเป็นโปรตีนล้วนๆ เมื่อนำก้อนโปรตีนนี้มาบ่มกับแบคทีเรียอีกครั้งก็จะก่อให้เกิดเนยแข็งสารพัดชนิด แล้วแต่กระบวนการบ่ม ดังนั้นเนยแข็งจึงจัดเป็นอาหารจำพวกโปรตีนเหมือนเนื้อสัตว์

 ความแตกต่างของเนยแข็ง

ความแตกต่างของเนยแข็งขึ้นอยู่กับ ประเภทและชนิดของน้ำนมที่นำมาใช้ในการผลิต ขึ้นอยู่กับประเภทของแบคทีเรียที่นำมาใช้ในการหมัก ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บ และยังขึ้นอยู่กับขั้นตอนวิธีการผลิตที่แต่ละชนิดจะมีวิธีการผลิตแตกต่างกันไป นอกจากนี้การเพิ่มส่วนผสมเช่น สมุนไพร เครื่องเทศ ยังเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับเนยแข็งด้วย เนยแข็งเป็นอาหารที่มีประโยชน์หลายประการอีกทั้งยังเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวในการใช้ประทังความหิว เพราะสะดวกในการพกพา สามารถเก็บรักษาได้นาน ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายโดยเฉพาะ โปรตีน แคลเซียม ไขมัน วิตามินบี 12 สังกะสีและฟอสฟอรัส นอกจากนี้เนยแข็งยังมีน้ำตาลแลคโตสในปริมาณที่ต่ำกว่าน้ำนม ดังนั้นการรับประทานเนยแข็งจึงส่งผลดีแก่ผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนมอีกด้วย

 ประวัติของเนยแข็ง

ตลาดค้าเนยแข็งในยุโรป
เนยแข็งนั้นเกิดด้วยความบังเอิญจากการเดินทางของชนเผ่าเร่ร่อนเบดูอินในทะเลทราย เนื่องจากชายอาหรับคนหนึ่งได้พยายามนำน้ำนมบรรทุกไว้บนหลังอูฐเพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง จึงนำกระเพาะอาหารของแพะมาใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำนมไว้ภายใน ขณะที่เดินทางนั้นกระเพาะอาหารของแพะได้รับความร้อนจากอากาศในทะเลทรายและบวกกับการถูกเขย่าตลอดระยะทาง ส่งผลให้เอนไซม์เรนนินในกระเพาะสัตว์ไปแยกน้ำและไขมันในนมออกจากกัน เมื่อชายผู้นี้เกิดความกระหายหมายจะดื่มน้ำนมก็ต้องประหลาดใจเมื่อเค้าพบกับก้อนนมแทน ชายผู้นี้จึงนำก้อนนมที่ได้มาใช้รับประทานเป็นอาหารแทน และกลายเป็นที่มาของการผลิตเนยและเนยแข็งในปัจจุบัน
ในสมัยกรีกโบราณมีหลักฐานการบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลว่า อริสเตอุส บุตรชายแห่งเทพเจ้าอะพอลโลเป็นผู้ค้นพบวิธีการผลิตเนยแข็ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อว่าชนเผ่าเบดูอินเป็นผู้นำความรู้มาถ่ายทอดต่อให้กับโรมันโบราณอีกที อย่างไรก็ตามชาวโรมันถือว่าเนยแข็งเป็นอาหารประจำวันที่สำคัญ บ้านของชาวโรมันในสมัยโบราณจึงมีห้องสำหรับเก็บเนยแข็งทุกหลังคาเรือน ทหารโรมันเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในการเผยแพร่เนยแข็งให้คนทั่วโลกได้รู้จัก เพราะเมื่อใดก็ตามที่กองทหารโรมันออกศึกไปที่ใด ทหารเหล่านี้มักจะแบ่งปันเนยแข็งส่วนหนึ่งให้กับทหารท้องถิ่นบริเวณนั้นด้วย ดังนั้นเนยแข็งจึงถูกเผยแพร่เป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรป
ต่อมาในสมัยกลางบาทหลวงในคริสต์ศาสนาได้ผลิตเนยแข็งออกจำหน่ายเพื่อเป็นการหารายได้เข้าโบสถ์ ส่งผลให้โบสถ์เปลี่ยนสถานะจากที่เคยเป็นเพียงศาสนสถานมาเป็นแหล่งรวบรวมความรู้เกี่ยวกับกรรมวิธีการผลิตเนยแข็งด้วย หลังจากนั้นเป็นต้นมาเนยแข็งก็ได้รับการปรับปรุงรสชาติและกลิ่นไปตามความหลากหลายของวัตถุดิบในแต่ละท้องถิ่น จนก่อให้เกิดเนยแข็งแบบดั้งเดิม (Traditional Cheese) ที่จะมีเฉพาะท้องถิ่นนั้นๆ แต่เนื่องจากในแต่ละท้องถิ่นมีการผลิตเนยแข็งชนิดใหม่ๆออกมาอย่างสม่ำเสมอบวกกับในยุคนั้นเกิดการผลิตเนยแข็งในระบบโรงงานอุตสาหกรรมที่เน้นแต่ปริมาณผลผลิต วิธีการทำเนยแข็งแบบดั้งเดิมจึงค่อยๆสูญหายไป ปัจจุบันนี้มีเพียง หกประเทศเท่านั้นที่ยังคงรักษาวิธีการผลิตเนยแข็งแบบดั้งเดิมไว้อยู่ ได้แก่ ประเทศ อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะในประเทศอิตาลี และฝรั่งเศส ที่มีระบบการันตีคุณภาพและมาตรฐานของเนยแข็งแบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยรักษาเอกลักษณ์ของเนยแข็งมาจนถึงปัจจุบัน

 ประเภทของเนยแข็ง

เนยแข็งมีมากกว่า 3,000 ชนิดทั่วโลก ดังนั้นเกณฑ์การแบ่งประเภทและชนิดของเนยแข็งจึงมีความหลากหลาย เนยแข็งบางประเภทแม้จะมีลักษณะเหมือนกันทุกประเภทแต่ก็มีชื่อเรียกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น วิธีการจำแนกประเภทของเนยแข็งจึงทำได้โดยอาศัยหลักเกณฑ์บางอย่าง เช่น ชนิดของน้ำนมที่ใช้ ระยะเวลาในการบ่ม เชื้อราที่ใส่ลงไปเพื่อแยกไขมันออกจากน้ำนม อุณหภูมิที่ใช้ในการหมักบ่ม พื้นผิวและความราบเรียบของเนยแข็ง ดังนั้นเนยแข็งจึงสามารถแยกออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ดังนี้

เนยแข็งประเภท Fresh Cheese

เนยแข็งประเภท Fresh Cheese คือ เนยแข็งที่ไม่ต้องผ่านความร้อนและไม่ต้องหมักบ่ม มีกลิ่นและรสไม่จัด ออกรสเปรี้ยวอ่อนๆ เนื้อในนิ่มเป็นครีม มีความชื้นสูง เช่น Cream Cheese, Feta, Mozzarella, Ricotta, Cottage Cheese, Mascarpone

 เนยแข็งประเภท Soft-White Cheese

เนยแข็งประเภท Soft-White Cheese คือ เนยแข็งที่ทำจากนมที่มีความเข้มข้นของครีมสูง เนื้อในจึงมีลักษณะเป็นครีมแข็ง ผิวนอกจะค่อนข้างบาง เมื่อทานแล้วจะค่อยๆละลายในปาก มีความชื้นน้อยกว่าเนยแข็งประเภท Fresh Cheese และจะต้องผ่านกระบวนการบ่มด้วยราสีขาวก่อนนำมาบริโภค เช่น Brie, Camembert, Neufchatel

 เนยแข็งประเภท Natural-Rind Cheese

เนยแข็งประเภท Natural-Rind Cheese คือ เนยแข็งที่ทำจากนมแพะตามแบบฝรั่งเศส มีพัฒนาการมาจากเนยแข็งประเภท Fresh Cheese แต่จะต้องผ่านการขับน้ำทิ้งมากกว่าจึงมีความชื้นน้อยกว่า หลังจากการบ่มเนยแข็งประเภทนี้จะมีรอยย่นพื้นบนผิวรอบนอกมาก มีรสชาติที่เด่นขึ้นด้วย เนยแข็งประเภทนี้จะบ่มด้วยราสีฟ้าค่อนข้างเทา มีจุดสีน้ำเงินออกน้ำตาลที่ผิวเนยแข็ง และเมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะมีกลิ่นแรงขึ้นด้วย เช่น Crottin de Chavignol, Sainte-Maure de Touraine

[แก้] เนยแข็งประเภท Wash-Rind Cheese

เนยแข็งประเภท Wash-Rind Cheese คือ เนยแข็งผิวนอกมีความเหนียวและมีสีน้ำตาลส้ม ซึ่งเกิดจากการล้างด้วยน้ำเกลือระหว่างการบ่ม มีตั้งแต่กลิ่นหอมจากเครื่องเทศไปจนถึงกลิ่นฉุน เช่น Herve, Limburger, Munster

 เนยแข็งประเภท Hard Cheese

เนยแข็งประเภท Hard Cheese คือ เนยแข็งที่แข็งเกิดจากการนำหางนมออกไปมากจนความชื้นในเนยแข็งเหลือเพียงเล็กน้อย เปลือกเนยแข็งจะหนา เนื้อแข็ง ใช้เวลาบ่มนาน เช่น Cheddar, Emmemtal, Gouda, Pecorino, Romano, Beaufortการแบ่งเนยแข็งออกเป็น 5 ประเภทที่ได้กล่าวไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการแบ่งประเภทเนยแข็งเพียงคร่าวๆ ในความเป็นจริงแล้วเนยแข็งทั้ง 5 ประเภทยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก เช่น แบ่งตามประเทศที่ผลิต แบ่งตามการกดอัดและการปรุงแต่ง แบ่งตามใยหุ้มเชื้อรา เป็นต้น
เนยแข็ง ครีมสด โยเกริ์ต และผลิตภัณฑ์ได้จากน้ำนมต่างมีคุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงกันมาก เนยแข็งจะให้สารอาหารจำพวก โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12ที่สูงไม่แพ้นม แต่ข้อดีของเนยแข็งคือให้สารอาหารจำพวกน้ำตาลแลคโตสในปริมาณที่ต่ำกว่าในน้ำนม ดังนั้นการรับประทานเนยแข็งจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม
สำหรับคนที่มีปัญหาในการดื่มนมเนื่องจากร่างกายขาดน้ำย่อยแลคโตสหรือมีน้ำย่อยชนิดนี้ในปริมาณที่น้อย เมื่อดื่มน้ำนมเข้าไปแล้วร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ส่งผลให้เกิดการตกค้างของน้ำตาลแลคโตสในร่างกาย การหมักหมมนี้จะทำให้เกิดแก๊สและกรดในที่สุด ส่งผลให้ผู้รับประทานมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อและท้องเสียในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานเนยแข็งแทนการดื่มนม
นอกจากนี้เนยแข็งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กวัยเจริญเติบโต เพราะเนยแข็งให้พลังงาน แคลเซียม และโปรตีนสูง โดยเฉพาะโปรตีนและแคลเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุน อีกทั้งเนยแข็งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน ช่วยป้องกันฟันผุ โดยโปรตีนในรูปของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเนยแข็งจะเป็นตัวช่วยป้องกันสารเคลือบฟัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มฟองน้ำลายที่ช่วยล้างกรดและน้ำตาลในช่องปากอันเป็นสาเหตุของฟันผุ แม้ว่าเนยแข็งจะมีปริมาณไขมันมากกว่าน้ำนมแต่ก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักและคอเลสเตอรอล แต่ชื่นชอบการรับประทานเนยแข็งก็สามารถเลือกบริโภคเนยแข็งที่ทำจากนมไขมันต่ำหรือปราศจากไขมันได้ตามท้องตลาดทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง

ประเทศฝรั่งเศส

 
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
République Française (ฝรั่งเศส)
ธงชาติตราแผ่นดิน
คำขวัญLiberté, Égalité, Fraternité
("เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ")
เพลงชาติลามาร์แซแยซ
ที่ตั้งของ ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ (เขียวเข้ม) ในทวีปยุโรป (เขียวอ่อนและเทาเข้ม) ในสหภาพยุโรป (เขียวอ่อน)
ที่ตั้งของ ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ (เขียวเข้ม)
ในทวีปยุโรป (เขียวอ่อนและเทาเข้ม)
ในสหภาพยุโรป (เขียวอ่อน)
ดินแดนของฝรั่งเศสทั่วโลก
ดินแดนของฝรั่งเศสทั่วโลก
เมืองหลวง
(และเมืองใหญ่สุด)
ปารีส
48°51′N 2°20′E / 48.85°N 2.333°E / 48.85; 2.333
ภาษาทางการภาษาฝรั่งเศส
การปกครองสาธารณรัฐเดี่ยว กึ่งประธานาธิบดี
 - ประธานาธิบดีนีกอลา ซาร์กอซี
 - นายกรัฐมนตรีฟร็องซัว ฟียง
การสร้างชาติ
 - รัฐฝรั่งเศสพ.ศ. 1386 (สนธิสัญญาแวร์เดิง
 - ปัจจุบันพ.ศ. 2501 (สาธารณรัฐที่ 5
เข้าร่วมสหภาพยุโรป25 มีนาคม พ.ศ. 2500
พื้นที่
 - รวม632,834 ตร.กม. (43)
213,011 ตร.ไมล์ 
 - แหล่งน้ำ (%)?
ประชากร
 - 2550 (ประเมิน)64,102,1401 (20)
 - ความหนาแน่น112 คน/ตร.กม. (68)
290.1 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ)2548 (ประมาณ)
 - รวม1.871 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ (7)
 - ต่อหัว30,100 ดอลลาร์สหรัฐ (24)
ดพม. (2546)0.942 (สูง) (16)
สกุลเงินยูโร2 (EUR)
เขตเวลาCET (UTC+13)
 - (DST)CEST (UTC+23)
โดเมนบนสุด.fr
รหัสโทรศัพท์33
หมายเหตุ 1:
หมายเหตุ 2: ดินแดนโพ้นทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกใช้ฟรังก์ซีเอฟพี
3เฉพาะฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปเท่านั้น
ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: France) หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: République Française) เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่น ๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone) เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง
ประเทศฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์ราและสเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส (ติดกับแซ็ง-มาร์แต็ง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย
ประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลก แผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้น ๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82 ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลก จีแปด นาโต้และสหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง

ภูมิประเทศ
ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (La Métropole หรือ France métropolitaine) ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศสก็ยังมีดินแดนที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้ มหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกและทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ รวมทั้งบางส่วนในทวีปแอนตาร์กติกาอีกด้วย (การอ้างสิทธิเหนือดินแดนในแอนตาร์กติกาไม่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ดู สนธิสัญญาแอนตาร์กติก)
ภาพถ่ายแผ่นดินใหญ่ประเทศฝรั่งเศสจากดาวเทียมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2545
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935 ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสเปนเพียงนิดเดียว ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ราบสูงมาซิฟซ็องทราลทางภาคใต้ตอนกลางและเทือกเขาพิเรนีสทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร (15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปยังมีแม่น้ำต่าง ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แม่น้ำลัวร์ แม่น้ำการอน แม่น้ำแซน และแม่น้ำโรนซึ่งแบ่งที่ราบสูงมาซิฟซ็องทราลออกจากเทือกเขาแอลป์อีกด้วย โดยไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่กามาร์ก ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2 เมตร หรือ 6.5 ฟุต จากระดับน้ำทะเล) และยังมีกอร์ส (คอร์ซิกา) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวมดินแดนอาเดลี) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารากิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกา ไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร
แผนที่ดินแดนของฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศเขตอบอุ่นเหนือ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศเขตอบอุ่น แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน ละติจูด ลองจิจูดและความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศเทือกเขาแอลป์และแถบบริเวณเทือกเขาอื่น ๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน ประวัติศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี
ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก
ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพนำประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16ในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ
ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน
ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

 การเมือง

สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐเดี่ยวกึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2501 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)

การแบ่งเขตการปกครอง

ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (Metropolitan France) แบ่งการปกครองออกเป็น
  • 22 แคว้น (regions - régions) ได้แก่

  1. อาลซัส (Alsace)
  2. อากีแตน (Aquitaine)
  3. โอแวร์ญ (Auvergne)
  4. บัส-นอร์ม็องดี (Basse-Normandie)
  5. บูร์กอญ (Bourgogne)
  6. เบรอตาญ (Bretagne)
  7. ซ็องทร์ (Centre)
  8. ช็องปาญาร์แดน (Champagne-Ardenne)
  9. กอร์ส (คอร์ซิกา) (Corse)
  10. ฟร็องช์-กงเต (Franche-Comté)
  11. โอต-นอร์ม็องดี (Haute-Normandie)
  1. อีล-เดอ-ฟร็องส์ (Île-de-France)
  2. ล็องก์ด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon)
  3. ลีมูแซ็ง (Limousin)
  4. ลอแรน (Lorraine)
  5. มีดี-ปีเรเน (Midi-Pyrénées)
  6. นอร์-ปา-เดอ-กาแล (Nord-Pas-de-Calais)
  7. เปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire)
  8. ปีการ์ดี (Picardie)
  9. ปัวตู-ชาร็องต์ (Poitou-Charentes)
  10. พรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ (Provence-Alpes-Côte d'Azur)
  11. โรนาลป์ (Rhône-Alpes)
FranceRegionsNumbered.png

โดยในแต่ละแคว้นแบ่งออกเป็น จังหวัด (départements) รวมทั้งหมด 96 จังหวัด
นอกจากในทวีปยุโรปแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีเขตการปกครองโพ้นทะเล (Overseas) อยู่ในทวีปต่าง ๆ ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และภูมิภาคโอเชียเนียอีก ได้แก่
Départements+régions (France).svg

 เศรษฐกิจ

ประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศพึ่งอยู่กับพลังงานนิวเคลียร์ (เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กอลเฟค)
เมื่อดูจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก ประเภทของอุตสาหกรรมที่เป็นที่มาของความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมทางด้านการขนส่ง โทรคมนาคม อุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ยา รวมไปถึงภาคธนาคาร การประกันภัย การท่องเที่ยว และสินค้าฟุ่มเฟือย (เครื่องหนัง เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำหอมและเหล้า)
ในปี พ.ศ. 2547 ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบดุลการค้าถึง 6.6 พันล้านยูโร ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทางด้านสินค้าทุน (ส่วนมากจะเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์) และเป็นอันดับ 2 ในส่วนของภาคบริการและทางด้านเกษตรกรรม (โดยเฉพาะธัญพืชและอุตสาหกรรมอาหาร) ส่วนในระดับภูมิภาคยุโรป ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปคิดเป็นร้อยละ 70 (ร้อยละ 50 เฉพาะประเทศในโซนยูโร)
ในด้านการลงทุน ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้เพราะผู้ลงทุนพอใจในคุณภาพของแรงงานชาวฝรั่งเศส การค้นคว้าวิจัยขั้นสูง เทคโนโลยีชั้นสูงที่ก้าวหน้ามาก เสถียรภาพของค่าเงิน และการควบคุมต้นทุนการผลิต
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา (59 เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ใน 19 โรงงานปรมาณูทั่วประเทศ) การผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ 88% มาจากพลังงานนิวเคลียร์ ค่าไฟฟ้าในประเทศราคาถูกกว่าประเทศใกล้เคียง จึงมีการส่งออกกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศอื่น [1]

 เกษตรกรรม

ประเทศฝรั่งเศสมีจำนวนพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรกว่า 590,000 แห่ง มีประชากรในวัยทำงานในภาคการเกษตร 1,189,000 คน และมีพื้นที่เพาะปลูก 27,668,000 เฮกตาร์หรือเท่ากับร้อยละ 50.7 ของประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ โดยมีผลิตผลทางการเกษตรหลักดังนี้
ส่วนด้านการทำปศุสัตว์และการผลิตเนื้อสัตว์นั้น มีดังนี้
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภายกลุ่มประชาคมยุโรปกว่าร้อยละ 58.6 ของการค้าทั้งหมดของประเทศฝรั่งเศสคือ ประเทศเยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร สเปนและอิตาลี ที่เหลือได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และแอลจีเรีย

 การค้าต่างประเทศ

เครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เครื่องแรกที่ผลิตในเมืองตูลูส เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 โดยเครื่องบินแอร์บัสเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสและสหภาพยุโรป
ในอดีตประเทศฝรั่งเศสขาดดุลการค้ามาโดยตลอดจนถึงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ เช่น การไม่รวมอัตรารายได้กับดัชนีเงินเฟ้อ และการปรับความสามารถในการแข่งขันส่งผลให้สภาวะการค้าของประเทศฝรั่งเศสดีขึ้น และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสก็ได้เปรียบดุลการค้าติดต่อกันเรื่อยมา โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เปรียบดุลการค้า คือ ราคาพลังงานที่ฝรั่งเศสต้องนำเข้าได้ลดลง ประเทศฝรั่งเศสทำการค้ากับสหภาพยุโรปเป็นสำคัญโดยร้อยละ 60 ของการส่งออกของฝรั่งเศสส่งไปยังตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเดิมถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศฝรั่งเศส แต่สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้กลายเป็นข้อได้เปรียบ และการส่งออกสินค้ามูลค่าสูงเช่น เครื่องบินแอร์บัส และอุปกรณ์การบิน ดาวเทียม อุปกรณ์ด้านการทหาร และรถไฟความเร็วสูง (TGV) ได้ขยายตัวอย่างมากโดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 20 ของการส่งออกของประเทศฝรั่งเศสทั้งหมด
แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต คาดว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้เปรียบดุลการค้าลดลง เนื่องจากการถดถอยของอุปสงค์โลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ในปี พ.ศ. 2541 และการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาและสงครามในอิรัก[2]

 การท่องเที่ยว

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส
จำนวน 81.9 ล้านคนนี้ ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เช่น ชาวยุโรปทางตอนเหนือที่เดินทางผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปประเทศสเปนหรืออิตาลีในฤดูร้อน ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวในทุก ๆ บรรยากาศไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยทะเล หาดทราย ป่า แม่น้ำ ภูเขา บ้านพักตากอากาศ ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้[3] หอไอเฟล (6.2 ล้าน), พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (5.7 ล้าน) , พระราชวังแวร์ซายส์ (2.8 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ออร์เซ (2.1 ล้าน) , ประตูชัยฝรั่งเศส (1.2 ล้าน) , ซองตร์ ปอมปิดู (1.2 ล้าน) , มง-แซ็ง-มีแชล (1 ล้าน) , พระราชวังช็องบอร์ (711,000) , วิหารแซ็งต์-ชาแปล (683,000) , ชาโต ดู โอต์-โคนิคบูร์ก (549,000) , ปุย เดอ โดม (5 แสน) , พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (441,000) และการ์กาซอน (362,000)
ประเทศฝรั่งเศสมีโรงแรมกว่า 18,217 แห่ง สถานที่ตั้งแคมป์ 8,289 แห่ง หมู่บ้านตากอากาศ 1001 แห่ง บ้านพักเยาวชน 188 แห่ง ที่พักราคาย่อมเยาในต่างจังหวัด 63,158 แห่ง ห้องพักพร้อมอาหารเช้าตามบ้านคนท้องถิ่น 31,013 ห้อง โดยประเทศฝรั่งเศสมีรายได้จากการท่องเที่ยว 32.8 พันล้านยูโร นับเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและอิตาลี และมีดุลการท่องเที่ยวเกินดุลกว่า 9.8 พันล้านยูโร

 ประชากร

ดูบทความหลักที่ ชาวฝรั่งเศส
ประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 64.5 ล้านคน โดยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่ ปารีส มาร์แซย์ ลียง ลีล ตูลูซ นิส และน็องต์

 วัฒนธรรม

ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น เนื่องจากชนพื้นเมืองเป็น ชนผิวดำ และสีผิว จึงได้วัฒนธรรมตามกันมา