วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Tag Archives: ลา ลูแบร์

การเมืองในสมัยพระนารายณ์: อิทธิพลการต่างประเทศหรือการเมืองภายในราชอาณาจักรสยาม (1)



ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ถูกทำให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองด้านการค้าและการต่างประเทศ โดยมีหลักฐานสำคัญของการรับรองคณะราชฑูตนำโดย เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ (ค.ศ. 1640-1710) เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แด่สมเด็จพระนารยณ์ และการส่งราชฑูต ออกพระวิสูตรสุนทร หรือ โกษาปาน ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และคณะฑูตชุดนี้ ก็กลับมาพร้อมๆ กับการเข้ามาในฐานะราชฑูตของ ซิมง เดอ ลาลูแบร์ ซึ่งทำให้แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยมักจะเข้าใจอย่างง่ายๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสยามและฝรั่งเศสเป็นไปในทางที่ดีโดยตลอดและทำให้การค้าการต่างประเทศในยุคนี้รุ่งเรืองด้วย

การเข้ามาของซิมง เดอ ลาลูแบร์ในกรุงศรีอยุธยาเพียง 3 เดือนกับอีก 6 วันในฐานะราชฑูตนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเขียนหนังสือขนาดหนากว่า 600 หน้า (จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย ลา ลูแบร์ ฉบับแปลไทยโดยสันต์ โกมลบุตร) เพราะเนื้อหาของหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆในสายตาของลา ลูแบร์ที่มีต่ออยุธยาในเรื่องราวที่หลากหลาย ตั้งแต่สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การบริโภค การเพาะปลูก ขนบธรรมเนียม ศาสนา เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน การศึกษาความรู้ ภาษา ตัวอักขระ การแพทย์ การดนตรีศิลปะ โครงสร้างทางการเมือง ขุนนาง ตำแหน่ง หน้าที่ และรวมถึงภาพวาดต่างๆ ที่ถูกนำมาอ้างอิงในหนังสือประวัติศาสตร์อยุธยาเกือบแทบทุกเล่มในปัจจุบัน




หน้าที่หลักของ ลาลูแบร์ ในการเข้ามายังกรุงสยามถูกระบุไว้ในจดหมายที่ลาลูแบร์เขียนถึง เสนาบดีของฝรั่งเศส มาร์กีส์ เดอ ตอร์ซี่ ว่า ให้สังเกตเรื่องราวนานาประการที่แปลกๆ เกี่ยวกับประเทศนั้น แล้วมาถ่ายทอดเพื่อเป็นข้อมูลให้ทางฝรั่งเศสใช้ในการวางนโยบายเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม ซึ่งการนี้ ลาลูแบร์ ก็เตรียมการด้านข้อมูลต่างๆมากมาย ทำให้ ลาลูแบร์รู้จักประวัติศาสตร์ของกรุงสยามได้ดี โดยสามารถเล่าย้อนประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจาก “จดหมายเหตุต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ที่มีผู้เขียนไว้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในภาคพื้นบูรพาทิศ” (ลาลูแบร์เล่าไว้เองในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้)
ในบทหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ (หน้า 294) ลาลูแบร์ พยายามจะเล่าถึงกรุงสยามว่าทำไมถึงไม่มีทหารรักษาพระองค์เป็นชาวญี่ปุ่นแล้วว่า พระชนกของพระเจ้ากรุงสยาม (พระเจ้าปราสาททอง) เมื่อได้ทรงใช้กำลังทหารญี่ปุ่นช่วงชิงราชบังลังก์ได้แล้ว ก็ทรงแสวงหาทางยุบเลิกกองทหารนี้เสีย โดยพระราโชบายมากกว่าจะใช้กำลังขับไล่ไปให้พ้นเสียตรงๆ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้แปลหนังสือของลาลูแบร์เป็นภาษาไทยจากเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเป็นคนแรก (ไม่ได้แปลจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส) ทรงให้พระวินิจฉัยว่า ลาลูแบร์จงใจหมิ่นชาวสยามว่ามิใช่นักรบและขลาด ทรงให้อรรถธิบายว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าปราสาททอง พระชนกของพระนารายณ์ ในตอนที่ยังดำรงพระยศเป็นพระมหาอำมาตย์ เป็นผู้ปราบทหารญี่ปุ่นที่ก่อขบฏขึ้น ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม และเพราะพวกญี่ปุ่นภักดีต่อพระราชวงศ์ของสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงต้องพิฆาตและเนรเทศออกไปพ้นจากกรุงสยาม


ในเหตุการณ์นั้น ลา ลูแบร์และกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ หมายถึง กรณีของ ออกญาเสนาภิมุข หรือ ยามาดะ นางามาซะ ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาในอยุธยาต้นสมัยพระเจ้าทรงธรรม และรับราชการ โดยสามารถก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง คือ ออกญาเสนาภิมุข เพราะสามารถควบคุมกองกำลังชาวญี่ปุ่น ที่เรียกว่า “ทหารอาสาญี่ปุ่น” ซึ่งชุมชนของชาวญี่ปุ่นมีบทบาทและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าทรงธรรมจนได้ตั้งหมู่บ้านญี่ปุ่นในอยุธยาบริเวณใต้เกาะอยุธยาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตลง ได้เกิดปัญหาเรื่องการสืบราชสมบัติระหว่างกลุ่มของพระศรีศิลป์ อนุชาของพระเจ้าทรงธรรม กับ พระเชษฐาธิราช โอรสของพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งทั้งสองกลุ่มก็มีขุนนางสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยกลุ่มของออกญาเสนาภิมุขก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวการสืบราชสมบัตินี้โดยให้การสนับสนุนกลุ่มของพระศรีศิลป์ ซึ่งพ่ายแพ้กลุ่มของพระเชษฐาธิราชที่มี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ต่อมา คือ พระเจ้าปราสาททอง) ทำให้ต่อมา ออกญาเสนาภิมุข จึงถูกกำจัดด้วยการส่งไปครองเมืองนครศรีธรรมราชและสุดท้ายถูกลอบวางยาพิษตาย และอิทธิพลของชาวญี่ปุ่นก็ค่อยๆหมดบทบาทไปในการเมืองอยุธยา ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะญี่ปุ่นเริ่มปิดประเทศลงด้วยผลเหตุของการรุกรานจากตะวันตกในนามของคำว่า อาณานิคม

น่าสนใจว่า ลาลูแบร์เขียนเรื่องนี้ขึ้น ทั้งๆที่รู้จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเข้ามาถึง 60 ปีว่า การเข้ามายุ่งวุ่นวายในการเมืองในราชอาณาจักรสยามมีอันตรายและบทเรียนอย่างที่ ยามาดะและคนญี่ปุ่นในอยุธยาเวลานั้นได้รับ แต่ลาลูแบร์ก็เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาและมีบทบาทไม่ต่างจากที่ยามาดะเคยได้ทำมาแล้ว

กล่าวคือ ภารกิจสำคัญของคณะฑูตที่มาพร้อมกับซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Loubère) และ และโคลด เซเบเรต์ ดู บูลเล (Claude Céberet Du Boullay) กับเรือรบ 6 ลำพร้อมกับทหาร 636 นาย (เสียชีวิตระหว่างเดินทางเหลือมาถึงสยามเพียง 492 คน) คือ การบรรลุข้อตกลงทางการเมืองต่างๆ เช่น การโน้มน้าวให้พระเจ้ากรุงสยามเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ โดยเชื่อว่าประชาชนชาวสยามจะหันมานับถือศาสนาคริสต์ตามอย่างคติพจน์ในบทบัญญัติ “Cujus region, ejus religio” ของยุโรปในช่วงสงครามศาสนา การเจรจาที่แสดงออกถึงความต้องการให้ราชสำนักสยามยกป้อมเมืองมะริดและเมืองเมืองบางกอก-ธนบุรีให้ การได้รับสิทธิผูกขาดดีบุกในเกาะภูเก็ต การเจรจาทำสนธิสัญญาทางการค้าฉบับใหม่ อันนำมาซึ่งการได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนฝรั่งเศส เป็นต้น

และอย่างที่ทราบกันดีว่า ความสัมพันธ์ที่เชื่อกันว่าดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสกับพระเจ้านารายณ์แห่งกรุงสยามนั้น เกิดขึ้นด้วยความสามารถทางการฑูตลับๆ ของ คอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกที่รับราชการในอยุธยาจนได้รับตำแหน่งสูงสุด คือ เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ (ในอีกด้านนักวิชาการชาวฝรั่งเศส ต่างชอบเปรียบเทียบ ฟอลคอน ว่าเป็น “ตัวจักรทางการเมืองแห่งสยาม หรือ เสนาบดีผู้หลอกหลวง) ที่ต้องการดึงฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาททางการเมืองในราชสำนักของอยุธยา โดยประเด็นนี้ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสนอไว้อย่างละเอียดในหนังสือชื่อ “การเมืองในสมัยพระนารายณ์” (พิมพ์แรกครั้งปี 2523) ว่าเรื่องราวในการเมืองสมัยพระนารายณ์นี้ เกิดขึ้นและมีมาก่อนหน้านี้ ภายใต้สภาวะของการเมืองที่มีจุดอ่อนของการสืบราชสมบัติในสถาบันกษัตริย์ของอยุธยา

สำหรับประวัติส่วนตัวของ คอนสแตนติน ฟอลคอน ที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น เป็นชาวกรีก เดิมชื่อคอนสแตนติน เยรากี ชาวฝรั่งเศสนิยมเรียกว่า เมอซิเยอร์กองสตองซ์ ฟอลคอน เกิดเมื่อปี ค.ศ.1647 ที่หมู่เกาะเซฟาโลเนียในเขตการปกครองกรุงเวนิส บิดาเป็นชาวเมืองเวนิส ส่วนมารดาเป็นชาวกรีก ฟอลคอนเริ่มชีวิตการผจญภัยโดยท่องทะเลไปกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษตั้งแต่อายุ 11 ปี ฟอลคอนเดินทางถึงกรุงสยามในปี ค.ศ. 1678 เริ่มต้นจากการเป็นพ่อค้าของเถื่อน จนกระทั่งได้รับราชการเป็นอัครเสนาบดีของสมเด็จพระนารายณ์ สามารถทำกำไรให้กับพระเจ้าแผ่นดินในการค้าขายกับต่างชาติ เนื่องจากเป็นนักการค้าที่หลักแหลมและฉลาด จนในที่สุด กลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเมืองในราชสำนักสยามเป็นอันมาก ซึ่งจะรวมถึงปัญหาของการสืบราชสมบัติในสถาบันกษัตริย์ของอยุธยาด้วย

จุดอ่อนของการสืบราชสมบัติในสถาบันกษัตริย์ของอยุธยา สามารถย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้านั้น กล่าวคือ นับตั้งแต่สมัยของพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตลง ปัญหาเรื่องการสืบราชสมบัติระหว่างกลุ่มของพระศรีศิลป์ อนุชาของพระเจ้าทรงธรรม กับ พระเชษฐาธิราช โอรสของพระเจ้าทรงธรรม โดยมีขุนนางต่างๆ และหนึ่งในนั้น คือ ยามาดะ สนับสนุนฝ่ายหนึ่งอยู่

และเมื่อพระเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 14 พรรษาจากการสนับสนุนขุนนางอย่าง เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ ต่อมาพระเชษฐาธิราช ครองราชย์เพียงช่วงเวลา 1 ปีเศษๆ ก็มีปัญหากับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งมีตำแหน่งและบทบาทมากขึ้นก็สำเร็จโทษพระเชษฐาธิราชและสนับสนุนพระอนุชา คือ พระอาทิตยวงศ์ ซึ่งพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ในช่วงนั้น ยุวกษัตริย์อย่างพระอาทิตยวงศ์ ไม่ได้มีอำนาจมากพอที่ควบคุมขุนนางในระบบราชการอยุธยาได้เลย และเพียงเวลา 1 เดือนเท่านั้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระเจ้าปราสาททอง และสถาปนาราชวงศ์ปราสาทองขึ้นใหม่ เป็นราชวงศ์ที่ 4 ของอาณาจักรอยุธยา

ในช่วงต้นของรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง พระองค์สั่งให้ประหารชีวิตพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรม 2 พระองค์และขุนนางที่เคยสนับสนุนเชื้อพระวงศ์กลุ่มนี้ และพระองค์ก็ทรงทราบดีว่า ขุนนางที่มีอิทธิพลมากขึ้นไปจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ของพระองค์ ดังนั้น จึงพยายามที่จะลดทอนอำนาจของเหล่าขุนนางในการควบคุมไพร่พล เช่น การสั่งย้าย หรือ เปลี่ยนตัวขุนนางบ่อยๆ เพื่อมิให้สะสมอำนาจ บารมี หรือ ในเรื่องทรัพย์สมบัติของเหล่าขุนนาง ก็ออกกฏว่า มรดกของขุนนาง 1 ใน 3 จะต้องนำเข้าท้องพระคลัง หรือ ในบันทึกของวัน วลิตก็ระบุตรงกันว่า ในสมัยของพระองค์มีการสั่งประหารขุนนางและริบราชบาตร (การริบทรัพย์เข้าสู่ท้องพระคลัง) ขุนนางที่ทำผิดจำนวนมาก และ หลายคนเป็นขุนนางระดับสูงอย่าง ออกญาพิษณุโลก ออกญาวังและออกญายมราช เป็นต้น ทำให้อำนาจที่ปลูกฝังมานานของขุนนางอ่อนแอลงในสมัยนี้ และในระดับของเจ้านาย ราชวงศ์เอง ก็ไม่มีการตั้งใครในบรรดาเจ้านายให้มีสถานะสูงเป็น วังหน้า หรือ อุปราช ทำให้ปัญหาเรื่องการสืบราชสมบัติยังจะเป็นปัญหาต่อไป

เมื่อพระเจ้าปราสาททอง พยายามลดบทบาทขุนนางในระบบราชการแล้ว สิ่งที่พระองค์จำเป็นจะต้องทำ คือ การสร้างแนวร่วมใหม่ที่ไว้วางพระทัยได้และสามารถส่งเสริมให้พระราชอำนาจมั่นคงขึ้น พระองค์เลือกที่จะใช้ “ราชการฝ่ายชำนัญการ” หรือ กลุ่มทหารอาสาต่างชาติ เหมือนครั้งที่ทหารญี่ปุ่นมีบทบาทในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โดยพระองค์ได้จ้างชาวต่างชาติเข้ามาเป็นกองทหารอาสาและปฏิบัติหน้าที่เป็นองครักษ์ เพราะคนกลุ่มนี้ มีความสามารถที่ไพร่ชาวสยามทำได้ยาก คือ ความสามารถในการใช้ปืนไฟ สาเหตุที่พระเจ้าปราสาททองทรงไว้พระทัยคนกลุ่มนี้ได้ง่ายกว่า เพราะคนกลุ่มนี้ไม่มีฐานอำนาจที่ฝังลึกเหมือนระบบขุนนางอยุธยา อีกทั้งคนกลุ่มนี้ยังอยู่ภายใต้ของระบบเงินเดือนและตำแหน่งหน้าที่ทางราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระมหากรุณาธิคุณด้วย ในรัชสมัยของพระองค์ก็เลือกใช้กองทหารอาสาหลายกลุ่ม เช่น กองทหารอาสาญี่ปุ่นที่รวบรวมขึ้นใหม่ (กลุ่มนี้จำนวนไม่มาก เข้มแข็งเหมือนอย่างสมัยพระเจ้าทรงธรรม จนเมื่อลาลูแบร์เข้ามาตามที่บันทึกไว้ในข้างต้น ก็เข้าใจว่าหมดบทบาทไปแล้ว) นอกจากนี้ ยังมีทหารอาสาจาก โปรตุเกส มาลายู มุสลิม และชาวอิหร่าน เป็นต้น

และเมื่อ พระเจ้าปราสาททองเสด็จสวรรคตลงหลังจากที่ครองราชย์ได้นานถึง 27 ปี ปัญหาสำคัญหลังจากการสวรรคตก็จะเป็นปัญหาลักษณะเดิมที่เคยเจอมาเกือบตลอดช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่โปรดให้มีการตั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์เป็นวังหน้า หรือ อุปราช ผู้ที่มีศักดิ์และสิทธิในราชบัลลังก์ขณะนั้นมีหลายพระองค์ อย่าง เจ้าฟ้าไชยพระเชษฐา โอรสของพระชายาคนแรกของพระเจ้าปราสาททอง รัชทายาทโดยชอบธรรม หรือ พระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาพระเจ้าปราสาททอง และ พระนารายณ์ ก็เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของพระเจ้าทรงธรรม เพราะพระมารดาของพระองค์เป็นธิดาในพระเจ้าทรงธรรม และยังเป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททองด้วย ซึ่งในท้ายที่สุด กลายเป็นกลุ่มขุนนางที่แม้ว่าจะถูกลดทอนพลังอำนาจทางการเมืองไปมากแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการขึ้นครองราชย์ ในเอกสารร่วมสมัยที่บันทึกจากชาวฮอลันดาในสมัยกรุงศรีอยุธยา (เอกสารฮอลันดาสมัยกรุงศรีอยุธยา ของกรมศิลปากร ที่แปลโดย นันทา สุตกุล: 2513) บันทึกว่า เจ้าฟ้าไชยเชษฐาให้คนของพระองค์ถืออาวุธครบมือเข้าล้อมพระราชวัง แล้งขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ด้วยเหตุนี้เอง การหาความร่วมมือจากขุนนางจึงเป็นเรื่องใหญ่ในการช่วงชิงสมัครพรรคพวกในการบริหารราชการ ในขณะนั้น ฝ่ายตรงข้ามที่มีสิทธิอำนาจในราชบัลลังก์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอย่าง พระศรีสุธรรมราชา ต้องเสด็จหนีไปอยู่ที่วัดทันทีที่เจ้าฟ้าไชยเชษฐายึดอำนาจได้สำเร็จ

แต่เมื่อเจ้าฟ้าไชยครองราชย์ได้เพียงสองวันเท่านั้น ก็ถูกโค่นลงจากอำนาจจากการร่วมมือของพระศรีสุธรรมราชาและพระนารายณ์ ภายใต้การสนับสนุนของเหล่าขุนนางอยุธยา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เหล่าขุนนางมักจะยอมให้การสนับสนุนพระราชาที่ไม่ค่อยที่จะมีอำนาจมากนัก เพื่อที่จะสามารถควมคุมได้ในภายหลัง เพราะต้องไม่ลืมว่าในสมัยพระเจ้าปราสาททองที่พระองค์สามารถสั่งสมอำนาจมาก มีไพร่พลมาก จึงสามารถจัดการขุนนางให้ไร้ซึ่งอำนาจและอิทธิพลในสังคม ดังนั้นขุนนางจึงยอมที่จะร่วมมือกับพระศรีสุธรรมที่มีอำนาจไพร่พล อำนาจบารมีไม่มากนักขึ้นครองราชย์แทน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น